ความเสียใจ

13:00 น. กำลังจะไปหาข้าวกิน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สายที่เข้ามา “พ่อ”

พ่อ : คนเล็ก กินข้าวยังลูก (คนเล็ก คือชื่อที่พ่อใช้เรียกผู้เขียน เรียกอยู่คนเดียว)

ฉัน : ยังเลย กำลังจะลงไปหาไรกิน ไม่รู้จะกินอะไรดี อยากกินมาม่าต้มยำ

พ่อ : อ่าว กินมาม่าอีกแล้วอย่ากิน หาข้าวกิน กินของมีประโยชน์

ฉัน : ได้จ้า เดี๋ยวกินข้าวตามสั่งนะ พ่อทำไรอยู่ กินข้าวยัง 

พ่อ : กินแล้ว เดี๋ยวจะออกไปสวน กินข้าวเยอะๆ อย่ากินมาม่านะลูก 

ฉัน : จ้า จ้า เดี๋ยวเลิกงานถึงบ้านแล้ว จะโทรไปใหม่นะพ่อนะ

พ่อ : Ok Ok

ไม่เคยคิดเลยว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับพ่อ

15:00 น. กำลังนั่งทำงานอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สายที่เข้ามา “แม่”

แม่ : กลับบ้านเลยนะ ตอนนี้เลย

แล้วก็ตัดสายไปเลย โดยที่ไม่ได้คุยอะไรซักคำ ในใจตอนนั้นคิดว่าคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่บ้านแล้ว

จากนั้นก็โทรหาพี่สาว ได้ความว่า พ่อถูกรถชน วางสายไป แล้วเดินกลับมาทำงานจนเสร็จ เขียนบอกเพื่อนร่วมงานว่างานอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วเขียนโน๊ตเล็กๆ บอกไว้ว่า “กลับบ้านนะ พ่อถูกรถชน” แล้วก็เก็บของเดินออกมาจากที่ทำงานเลย

จากนั้นก็ตรงไปสนามบินดอนเมือง นัดกับน้องสาวฝาแฝดอีก 2 คน เจอกันที่นั่น แล้วก็ขึ้นเครื่องกลับบ้าน ระหว่างที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน ก็นั่งจับมือกันไป สวนมนต์ ภาวนา สิ่งเดียวที่ขอตอนนั้นคือ “ขอให้พ่อไม่ตาย” จนฝรั่งบนเครื่องบิน แอร์ เจ้าหน้าที่ที่เห็นบนเครื่อง ต่างก็มองมาที่เรา 3 คน คงคิดว่าเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ไม่ก็กลัวเครื่องบิน เพราะนั่งจับมือ กันตลอดทาง

เมื่อถึงสนามบิน เปิดโทรศัพท์ปุ๊บก็มีสายเข้าทันที เป็นเบอร์ของพี่สาว

พี่สาว : พ่อเสียแล้วนะ ไม่ต้องมาที่โรงพยาบาลแล้ว ไปรอที่บ้านเลย

แล้วก็ตัดสายไปเลย ตัดสายอีกแล้ว ทำไมทุกคนชอบตัดสายทิ้งจากฉัน เมื่อสิ้นเสียงพี่สาว เรี่ยวแรงที่ขาหายไปไหนหมดไม่รู้ ทรุดลงนั่งกับพื้น ก้มหน้าอย่างเดียว เอามือจับที่หน้าตัวเอง ก็ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมา แต่มันไม่มีแรง เงยหน้าไม่ได้ คุยกับใครก็ไม่ได้ พูดได้แต่ว่า เค้าให้กลับไปรอที่บ้าน น้องสาวทั้งสองเมื่อเห็นอาการก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

ณ เวลานั้น ที่สนามบินตรงจุดรอรับกระเป๋าเดินทาง ผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่ ต่างมองมาที่เราทั้งสามคน เพราะน้องทั้งสองร้องไห้ เสียงดังมาก จับใจความได้แต่ว่า ไม่จริง ทำไมเราไม่ไปหาพ่อ ทำไมเราไม่ไปโรงพยาบาล ไม่จริงใช่มั้ย มีแต่คำว่าไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง อยู่ในหู

เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาถามว่าให้ช่วยอะไรมั้ย ให้ไปส่งที่ไหนหรือเปล่า ผู้โดยสาร ต่างคนต่างมองด้วยสายตาสงสาร และคิดว่าน่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนเจ้าหน้าที่พาเดินมาส่งที่ญาติที่มารับ แล้วก็ขึ้นรถมาโดยไม่รู้ตัว จนนั่งรถมาถึงบ้าน เห็นญาติๆ ใส่ชุดดำ ต่างคนต่างนั่งไม่พูดไม่จา เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน มีเตียงวางไว้กลางบ้าน คงสำหรับพ่อซินะ

ถึงบ้านได้ประมาณ 15 นาที รถที่พาพ่อกลับมาบ้านก็มาถึง เพื่อนๆ ของพ่อ ช่วยกันแบกร่างพ่อมาวางไว้ที่เตียง วินาทีที่เห็นพ่อนอนอยู่บนเตียง น้ำตามาจากไหนไม่รู้ เต็มหน้าไปหมด ไม่กล้าเข้าไปแตะตัวพ่อ เพราะกลัวน้ำตาจะไหลไปโดนพ่อ ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ตอนนั้นไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าคนอื่นเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างดับไปหมด มีแค่ภาพที่พ่อนอนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น

นั่งร้องไห้อยู่เป็นชั่วโมง พยายามจะกลั้นน้ำตาไว้ให้ได้ เพื่อที่จะได้เข้าไปกอด และกราบลาพ่อ พอได้กอด กราบที่เท้า ได้สำรวจร่างกายของพ่อว่าเจ็บปวดตรงไหนบ้าง ก็กอดค้างไว้แบบนั้น จนใครที่ผ่านมาเห็นต่างเวทนาสงสาร

คืนนั้นบอกแม่ว่า อย่าพึ่งเอาพ่อใส่โลงได้มั้ย แม่บอกว่ารู้อยู่แล้ว ว่าลูกมาถึงต้องนอนกอดพ่อกันแบบนี้ เลยบอกหมอว่าไม่ต้องฉีดฟอร์มาลีน หรือยาใดๆ แล้วพ่อก็นอนอยู่ตรงนั้นด้วยกัน

ในใจคิดว่าทำไมพ่อไม่รอให้เราได้ร่ำลากันเลย เราไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำลา ไม่มีโอกาสได้กราบลากันเลย พ่อจากไปแบบตัดสายทิ้งกันไปเลย ไหนบอกว่าเราจะไปเจอกันที่โรงพยาบาล พ่อจะเป็นอะไรก็ได้ ขาหัก แขนหักกี่ท่อน กระดูกหักกี่ซี่ จะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ก็ได้ แต่ขออย่างเดียวขอให้พ่อไม่ตาย แต่สิ่งที่ขอเพียงอย่างเดียวทำไมไม่ได้ ทำไมพ่อตาย ทำไมต้องเลือกให้พ่อตาย ในหัวมีคำถามวนอยู่แค่นี้

ทั้งคืนที่นั่งมองพ่อ โดยที่ไม่หลับเลย พอน้ำตาจะไหลก็ถอยห่างออกมาไม่ให้ไปโดนร่างของพ่อ พอกลั้นน้ำตาได้ก็กลับไปกอดใหม่ สลับไปมาแบบนี้ทั้งคืน จนถึงเช้า พอประมาณสายๆ โลงศพที่สั่งไว้มาถึงที่บ้าน ญาติๆ ต่างดึงพวกเราออกมาจากร่างพ่อ แล้วบอกว่าต้องเอาพ่อใส่โลงแล้ว พระที่มาทำพิธีบอกว่า ปล่อยให้พ่อไปที่ของพ่อนะ เราเลยปล่อยออกมา

เมื่อเห็นร่างพ่อที่อยู่ในโลงศพแล้ว คำถามในหัวที่วนเวียนอยู่ทั้งคืนมันจบลงโดยอัตโนมัติทันที สิ่งที่อยู่ในหัวคือ พ่อไปจากเราแล้ว ต่อจากนี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

หลังจากนั้นผู้เขียนต้องอยู่กับความเสียใจ ที่ต้องสูญเสียคนสำคัญของบ้าน ไม่รู้สึกอยากกิน ไม่รู้สึกอยากนอน ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากออกไปไหน น้ำตาไหลตลอดเวลาเมื่อคิดถึง หรือเมื่อมีเรื่องมาสะกิดใจให้ต้องคิดถึง หน้าตาเศร้าหมอง น้ำหนักลดไปเกือบ 10 กิโล

ไม่ใช่แค่คนที่เสียใจ “น้ำหวาน” หมาที่พ่อเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวยังเล็กๆ ก็มีอาการเหมือนสมาชิกในบ้านคนอื่น น้ำหวาน ไม่ยอมกินข้าว นั่งรอพ่ออยู่ที่เดิม พอได้ยินเสียงรถก็ลุกขึ้นดู จนตัวมันผอม จนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ ใครเห็นก็พากันสงสารน้ำหวานจับใจ ที่นั่งรอพ่อไม่ไปไหน เวลาผ่านไป 2-3 เดือนกว่าน้ำหวานจะกลับมาเดินได้ กินข้าว แต่สายตาก็ยังมองหาพ่ออยู่เหมือนเดิม

สำหรับเราเอง ใช้เวลาเกือบปี กว่าจะจัดการกับความเสียใจนี้ออกไปได้ โดยระหว่างนั้นได้ไปบริจาคเลือด บริจาคเงินให้ผู้ป่วยยากไร้ที่โรงพยาบาล ระหว่างทางเห็นผู้ป่วยไร้ญาติ ผู้ป่วยหนักที่นอนอยู่ตรงทางเดิน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ทำให้คิดได้ว่า ถ้าพ่อยังอยู่ แล้วต้องอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พ่อคงไม่ชอบที่เป็นแบบนี้ ถ้าเรายึดติดกับความรัก ยึดติดว่าไม่ให้พ่อจากเราไปไหน โดยที่ไม่สนใจว่าพ่อจะอยู่ในสภาพแบบไหน ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวที่ให้พ่อทรมานเพื่ออยู่กับเราต่อ

เมื่อคิดได้แบบนี้ ความเสียใจ ความติดค้างที่เคยมีก็หายไป พ่อไปสบายแล้ว

เราไม่รู้ว่าน้ำหวานผ่านเหตุการณ์ความเสียใจนี้ไปได้ยังไง แต่เราผ่านมันมาได้ด้วยการคิดแบบนี้

ส่วนน้องสาวทั้งสองคนที่เป็นฝาแฝดกัน ต้องพบหมอจิตแพทย์ เพื่อรักษาอาการซึมเศร้า จนทุกวันนี้ก็ยังต้องรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง

จะเห็นว่าแต่ละคนแม้ว่าจะเป็นพี่น้อง พ่อแม่เดียวกัน เกิดออกมาจากท้องเดียวกันแท้ๆ แต่ความรู้สึกนึกคิด กลับไม่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างมีวิธีในการจัดการกับความเสียใจแตกต่างกัน สารในสมองของใครจะหลั่งออกมาแบบไหน สั่งให้เราเศร้า หรือสุข เราเองต้องรู้ตัว รู้วิธีที่จะจัดการกับมันให้ได้ ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ แล้วหาทางเพื่อให้ตัวเองทุเลาจากความเศร้า

จิตแพทย์ที่น้องฝาแฝดไปหามี 2 ที่ คือโรงพยาบาลสราญรมณ์ จ.สุราษฎร์ธานี และสถาบันจิตเวชสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ โดยครั้งแรกที่เริ่มไปหาคือ ทั้งสองมีอาการคล้ายกัน คือนอนไม่หลับ ร้องไห้ตลอดเวลา ไม่อยากกิน ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเข้าสังคม และมีอาการหวาดกลัวเสียงโทรศัพท์ จะตกใจมือสั่น ใจสั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ต้องปิดเสียงไว้ตลอดเวลา หนักที่สุดคือมีความคิดจะทำร้ายตัวเอง

ทุกวันนี้เราแทบจะไม่ตัดสายโทรศัพท์ใครทิ้ง เวลาจะกลับบ้าน หรือแยกย้ายกัน ก็จะเอ่ยคำลาก่อนทุกครั้ง เพราะไม่อยากมีความรู้สึกติดค้างไม่ได้ร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย

6 ปีผ่านมาแล้วที่พ่อจากไป และน้ำหวาน ก็จากไปแล้วด้วย ตอนนี้น้ำหวานคงได้เจอกับพ่อแล้วมั้ง พ่อกับน้ำหวานอยู่ในใจเสมอ และวันนึงเราคงได้พบกัน

 

Facebook Comments