ที่มาที่ไปของความว่าง

เพื่อทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น ก็จะมาเล่าความเป็นมากันซักหน่อย

ผู้เขียนเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ชีวิตวัยเด็กอยู่ในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน แต่ไม่ได้ถึงกับขนาดไม่มีบ้าน ไม่มีกิน ความยากจนที่ว่า ก็ประมาณว่าบ้านเราไม่ได้มีรถขับ มีแค่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ บ้านหลังคามุงสังกะสี ในขณะที่บ้านอื่นมุงกระเบื้อง ตอนเด็กๆ จำได้ว่าไม่เคยมีชุดนักเรียนใหม่เลยซักครั้ง รับช่วงต่อจากพี่สาวตลอด ค่าเทอมต้องผ่อนผันเป็นประจำ บางมื้อไม่มีเงินซื้อกับข้าว พ่อต้องให้ไปหยิบปลากระป๋องที่ร้านเจ๊ขายของชำ แล้วติดเงินเค้าไว้ก่อน ทุกวันนี้ยังสำนึกบุญคุณเจ๊อยู่ตลอดเวลาที่ให้ติดเงินค่าปลากระป๋อง ไข่ เป็นประจำ (เรียกแกว่าเจ๊จริงๆ จนทุกวันนี้)

แต่สิ่งสำคัญในชีวิตตอนนั้นคือต้องเรียนหนังสือ ช่วงชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีความฝันว่าอยากเป็นอะไร ไม่เคยคิดว่าโตมาจะต้องทำอาชีพอะไร เพราะมันต้องใช้ชีวิตให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือน ไม่สามารถแพลนได้ว่าเดือนหน้าจะทำอะไร เคยแพลนไว้ว่าเดือนหน้าจะเรียนพิเศษ แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะแม่ไม่มีเงิน เพราะงั้นก็เลยไม่เคยวางแผนชีวิตไกลๆ เลยว่าโตขึ้น อีก 5 ปี 10 ปี ตัวเองจะเป็นยังไง

เรียนหนังสือจนจบมัธยมปลายที่ สุราษฎร์ธานี สอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด จากนั้นก็มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เรียนมหาลัยเอกชน จบมาด้วยเงินกู้บ้าง คนนู้น คนนี้ พี่สาว พี่ชาย น้าสาว ป้า ช่วยค่าเรียน ค่าใช้จ่าย ทำให้ผ่านมาได้

ตอนมาสมัครเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้คิดเลยว่าจะเรียนอะไร เจ้าหน้าที่ที่รับสมัครให้แผ่นกระดาษมา 1 ใบ เป็นตารางค่าเทอมของคณะต่างๆ พอกวาดสายตาไล่ดูในตาราง พบว่า คณะบริหารธุรกิจ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ค่าเทอมถูกที่สุดในตาราง เลยใช้นิ้วชี้จิ้ม แล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่าเลือกเรียนคณะนี้ค่ะ แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตติดแป้นพิมพ์มาจนถึงทุกวันนี้

จากเด็กที่มาจากต่างจังหวัด สมัยก่อนเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ไม่ได้มีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้านเหมือนทุกวันนี้ จะได้แตะคอมพิวเตอร์ก็ตอน ม.ปลาย แตะสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง ในห้องคอมไม่ต้องสืบเลยว่าใน 1 ชั่วโมงนั้นจะได้อะไรติดตัวกลับมาบ้าง แทบจะไม่ได้เลย จนเมื่อเข้ามาเรียนคณะบริหาร คอมฯ ได้แตะคอมจริงๆ จังๆ จำได้ว่ายังไม่มีคอมใช้ที่หอพัก ต้องนั่งเทียนเขียนโปรแกรมในกระดาษ ผลจะออกมาเป็นยังไงก็ไม่รู้ เขียนให้ครบตามโจทย์ก็พอ

ตอนนั้นไม่ชอบเขียนโปรแกรมเลย จินตนาการไม่ถึง แต่…เดชะบุญ! ได้ไปฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ที่ทำสื่อการเรียนการสอน ฝึกอยู่ 1 เทอม ประมาณ 3 เดือนกว่า ได้วิชาความรู้ จนได้มาประกอบอาชีพหลังจากเรียนจบ

สมัยนั้น e-Learning เฟื่องฟูมาก หลายๆ ที่ต้องมีการเรียนการสอนออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถาบันต่างๆ ต้องมีสื่อการเรียนการสอนที่เรียกว่า e-Learning ก็ทำแอนนิเมชัน อยู่หลายปีจนบริษัทปิดตัว ยังคิดอยู่ว่าถ้าตอนนั้นบริษัทไม่ปิดตัวลง ก็ยังคงทำงานอยู่ที่นี่มั้ง

หลังจากนั้นก็มาทำงานบริษัทที่ทำเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน ทำ Content บนเว็บไซต์ เป็น Tester เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

พอมองย้อนกลับไปไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นจากตอนเด็กๆ อย่างทุกวันนี้ ถ้าจะให้พูดว่าเพราะอะไรชีวิตถึงดีขึ้น ก็ตอบได้ว่าเป็นเพราะ “การศึกษา” ที่ทำให้มีทุกวันนี้ มีคอมพิวเตอร์ที่ดีใช้ มีบ้านหลังคามุงกระเบื้อง อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ

ทุกวันนี้ไม่ได้ลืมความจนในตอนเด็กๆ ไม่ได้เจ็บช้ำในความจนนั้น ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมบ้านเราถึงจน ในความจนความลำบาก มันมีความสนุก มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่ ความจนไม่ได้ทำให้ใครตาย แต่เราจะตายถ้าจนแล้วไม่พัฒนาตัวเอง

ขอบคุณ พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาว ป้า น้า ครู อาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ พนักงานที่สอนงาน ลูกค้า ทุกๆ ท่าน และความจน ที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้

และขอบคุณตัวเองที่สนุก และมีความสุขกับชีวิต ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรมาโดยตลอด

 

Facebook Comments